ไม่มีภาชนะใดที่มนุษย์บรรจุใส่อาหารจนเต็มจะเลวร้ายไปกว่าท้องของเขาเอง…

ไม่มีภาชนะใดที่มนุษย์บรรจุใส่อาหารจนเต็มจะเลวร้ายไปกว่าท้องของเขาเอง เพียงพอแล้วสำหรับลูกหลานอาดัมด้วยอาหารเพียงไม่กี่คำที่สามารถทําให้กระดูกสันหลังของเขาเเข็งเเรง(หมายถึงสามารถประทังชีวิตและสร้างความแข็งแรงแก่ร่างกาย) และหากจำเป็นต้องกินจริง ๆ แล้ว ก็ (จงเตรียมท้องไว้เป็นสามส่วน) ส่วนหนึ่งสำหรับอาหาร ส่วนหนึ่งสำหรับเครื่องดื่ม และอีกส่วนหนึ่งสำหรับลมหายใจ

จากอัล-มิกดาม บิน มะอ์ดี การิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า: ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า: "ไม่มีภาชนะใดที่มนุษย์บรรจุใส่อาหารจนเต็มจะเลวร้ายไปกว่าท้องของเขาเอง เพียงพอแล้วสำหรับลูกหลานอาดัมด้วยอาหารเพียงไม่กี่คำที่สามารถทําให้กระดูกสันหลังของเขาเเข็งเเรง(หมายถึงสามารถประทังชีวิตและสร้างความแข็งแรงแก่ร่างกาย) และหากจำเป็นต้องกินจริง ๆ แล้ว ก็ (จงเตรียมท้องไว้เป็นสามส่วน) ส่วนหนึ่งสำหรับอาหาร ส่วนหนึ่งสำหรับเครื่องดื่ม และอีกส่วนหนึ่งสำหรับลมหายใจ"

[เศาะฮีห์] [رواه الإمام أحمد والترمذي والنسائي وابن ماجه]

الشرح

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ชี้แนะเราให้รู้จักหลักการแพทย์ประการหนึ่ง ซึ่งก็คือการป้องกัน ซึ่งเป็นหลักที่ช่วยปกป้องสุขภาพของตนเอง คือการลดปริมาณการกินอาหารลง มิหนำซ้ำให้กินเท่าที่พออิ่ม และแข็งแรงเพื่อทำงานที่จำเป็น ภาชนะที่แย่ที่สุดในการเติมเต็มคือกระเพาะอาหาร เนื่องจากว่ามันจะนำโรคร้ายแรงนับไม่ถ้วนที่เป็นผลมาจากความอิ่ม ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ว่าจะมาจากภายในหรือภายนอกก็ตาม จากนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า: หากมนุษย์จำเป็นต้องกินจนอิ่ม ก็ให้จัดสรรอาหารในปริมาณหนึ่งในสามของกระเพาะ หนึ่งในสามสำหรับเครื่องดื่ม และอีกหนึ่งในสามสำหรับอากาศ (เพื่อการหายใจ) เพื่อจะได้ไม่เกิดความอึดอัด ความเสียหาย หรือความเฉื่อยชาในการปฏิบัติสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงบัญชาแก่เขา ทั้งในเรื่องศาสนาและเรื่องดุนยา

فوائد الحديث

อย่ากินและดื่มมากเกินไป นี่เป็นหลักการที่ครอบคลุมหลักการทางการแพทย์ทั้งหมด เพราะการอิ่มเกินไปจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้

จุดประสงค์ของการรับประทานอาหารคือ เพื่อรักษาสุขภาพและความแข็งแรงซึ่งเป็นรากฐานของชีวิต

การกินอาหารจนอิ่มท้องก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางร่างกายและทางศาสนา ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า “จงระวังการกินมากเกินไป เพราะมันจะทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายและทำให้ขี้เกียจละหมาด”

อาหารจากมุมมองทางบทบัญญัติศาสนา แบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่:

1.วาญิบ (จำเป็น): คืออาหารที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต การละเว้นจะก่อให้เกิดอันตราย

2.ญาอิซ (อนุญาต): คืออาหารที่เกินกว่าปริมาณที่จำเป็น และไม่มีความน่ากังวลว่าจะเกิดอันตราย

3.มักรูฮฺ (ไม่พึงประสงค์): คืออาหารที่มีความน่ากังวลว่าอาจก่อให้เกิดอันตราย

4.หะรอม (ต้องห้าม): คืออาหารที่รู้แน่ชัดว่าก่อให้เกิดอันตราย

5.มุสตะฮับ (ส่งเสริม): คืออาหารที่ช่วยให้สามารถประกอบศาสนกิจและเชื่อฟังอัลลอฮ์ได้ดีขึ้น

ทั้งหมดนี้ได้สรุปไว้ในอหะดีษเป็นสามระดับ ได้แก่:

1.การกินจนท้องเต็ม

2.การกินเพียงไม่กี่คำหรือไม่กี่คำที่พอประคองร่างกายให้ตั้งตรงได้

3.คำกล่าวของท่านนบีว่า: “หนึ่งในสามสำหรับอาหาร หนึ่งในสามสำหรับเครื่องดื่ม และหนึ่งในสามสำหรับอากาศ (เพื่อหายใจ)”

ทั้งหมดนี้ใช้ได้ก็ต่อเมื่ออาหารที่บริโภคนั้นเป็นสิ่งที่ฮะลาล (อนุญาตตามศาสนา)

หะดีษนี้เป็นหลักการพื้นฐานหนึ่งของวิชาการแพทย์ เนื่องจากศาสตร์ทางการแพทย์มีพื้นฐานอยู่บนหลักสามประการ ได้แก่ การรักษาพลังชีวิต (การเสริมสร้างกำลัง) การควบคุมอาหาร (การงดเว้นสิ่งที่เป็นโทษ) และการขับถ่ายสิ่งส่วนเกินออกจากร่างกาย หะดีษนี้ได้ครอบคลุมสองประการแรกไว้แล้ว ดังที่พระดำรัสของอัลลอฮ์ตรัสว่า: “และจงกินและดื่มเถิด แต่อย่าฟุ่มเฟือย เพราะแท้จริงพระองค์ไม่ทรงชอบผู้ที่ฟุ่มเฟือย” (อัล-อะอ์รอฟ: 31)

ความสมบูรณ์ยิ่งของบทบัญญัติศาสนานี้ คือการที่ครอบคลุมถึงประโยชน์ของมนุษย์ทั้งในเรื่องศาสนาและเรื่องการใช้ชีวิตในโลกนี้

หนึ่งในวิชาความรู้ของศาสนาอิสลาม ได้แก่ หลักการพื้นฐานทางการแพทย์และประเภทต่างๆ ของมัน ดังที่ปรากฏในเรื่องของน้ำผึ้งและฮับบะตุสเสาดาอ์ (เทียนดำ)

บทบัญญัติของศาสนาอิสลามล้วนครอบคลุมถึงวิทยปัญญา (ฮิกมะฮ์) และตั้งอยู่บนพื้นฐานของการป้องกันอันตราย (ดัรอุลมะฟาซิด) และการแสวงหาประโยชน์ (ญัลบุลมะซาลิห์)

التصنيفات

การตำหนิอารมณ์ใฝ่ต่ำและกิเลสตัณหา